#InvertedYieldCurve
ตอนนี้กำลังเกิด Inverted Yield Curve ในตลาด Bond ของสหรัฐฯ!!
ห๊ะ!!!!!!
ยังไม่ตกใจใช่ป่ะ? งั้นเม่าศรีขอเล่าก่อนว่ามันคืออะไร ?
คือปกติพันธบัตรเนี่ยเขาจะออกแบบ 2 ปี 5 ปี 10 ปี ไรงี้ ซึ่งตามเซนต์นักลงทุนปกติเนี่ย แบบระยะยาวต้องได้ดอกเบี้ยสูงกว่าระยะสั้นถูกแมะ ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรโดยทั่วไปก็จะเป็นประมาณนี้
อัตราดอกเบี้ยที่ควรจะเป็น : 2 ปี < 5 ปี < 10 ปี
แต่จู่ๆ อัตราดอกเบี้ยแบบ 2 ปี ดันสูงกว่า 5 ปีซะอย่างนั้น (2-5 yr spread ติดลบ) และดอกเบี้ย 2 ปี ใกล้เคียงกับดอกเบี้ย 10 ปีแบบหายใจรดต้นคอ (2-10 yr spread 12 bps ต่ำสุดในรอบ 11 ปี)
อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน : 5 ปี < 2 ปี ≈ 10 ปี
ซึ่งการที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวน้อยกว่าระยะสั้นเนี่ยเขาเรียก Inverted Yield Curve
Inverted Yield Curve คือสิ่งวิปริตผิดเพี้ยน!! เหมือนเป็น omen หรือลางไม่ดีทางเศรษฐกิจ คล้ายๆ แมวดำวิ่งตัดหน้า คือถ้าเจอ Inverted Yield Curve บนกราฟเมื่อใด ให้รู้ไว้ว่า Recession หรือความฉิบหายทางเศรษฐกิจกำลังตามมาในเวลาอีกไม่นาน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันแม่นมาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และคู่ที่นิยมดูคืออัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 2 ปี ตัด 10 ปี ซึ่งตอนนี้อย่างที่บอกว่าหายใจรดต้นคอ ส่วน 5 ปีตัดไปเรียบร้อยแล้ว
เริ่มตกใจแล้วมะ!!!?
แต่ Inverted Yield Curve งวดนี้ นักลงทุนชิลด์จ้า omen อะไร๊ โบร๊าณณณ 555+ เขามองว่า Inverted Yield Curve สมัยนี้ใช้วัดไม่ได้แล้ว
ลองไปดูบทวิเคราะห์ของ SCBEIC กันหน่อยว่าทำไมนักลงทุนถึงชิลด์
1. เพราะ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง พันธบัตรระยะยาวจึงมีโอกาสได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้นได้
2. ประธาน Fed กล่าวเป็นนัยว่า Fed Fund Rate เข้าใกล้อัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวแล้ว คนก็ตีความกันว่า วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นกำลังจะจบลงแล้ว ทำให้ราคาพันธบัตรต่ำลง
3. ตัวเลขเศรษฐกิจโลกและสหรัฐชะลอตัว ซึ่งตรงนี้ส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะยาว
สรุปว่า Invert Yield Curve ในสหรัฐฯ งวดนี้ก็ยังไม่ต้องตื่นตกใจอะไร คงไม่เกิด Recession เหมือนทุกครั้งหรอก(มั้ง)
อยากรู้ลึกๆ ไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/2AU1V1A
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก SCBEIC จ้า